Tuesday, December 25, 2012

เครือข่ายคอมพิวเตอร์

  
           เครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่มาเป็นสถานีบริการ หรือที่เรียกว่า เครื่องให้บริการ (Server ) และให้ไมโครคอมพิวเตอร์ตาม หน่วยงานต่างๆ เป็นเครื่องใช้บริการ (Client) โดยมีเครือข่าย(Network) เป็นเส้นทางเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์จาก จุดต่างๆ 


ชนิดของเครือข่าย
           เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งแยกตามสภาพการเชื่อมโยงได้ 2 ชนิด
- เครือข่ายแลน (Local Area Network : LAN)
- เครือข่ายแวน (Wide Area Network : WAN

 เครือข่ายแลน
 

            หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ท้องถิ่นเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ในท้องที่ บริเวณเดียวกันเข้าด้วยกัน เช่น ภายในอาคาร หรือภายในองค์การที่มีระยะทางไม่ไกลมากนัก เครือข่ายแลนจัดได้ว่าเป็นเครือข่ายเฉพาะขององค์การ การสร้างเครือข่ายแลนนี้องค์การสามารถดำเนินการทำเองได้ โดยวางสายสัญญาณสื่อสารภายในอาคารหรือภายในพื้นที่ของตนเอง เครือข่ายแลน มีตั้งแต่เครือข่ายขนาดเล็กที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปภายในห้องเดียวกันจนเชื่อมโยงระหว่างห้อง หรือองค์การขนาดใหญ่เช่นมหาวิทยาลัย มีการวางเครือข่ายที่เชื่อมโยงระหว่างอาคารภายในมหาวิทยาลัย เครือข่ายแลนจึงเป็นเครือข่ายที่รับผิดชอบโดยองค์การที่เป็นเจ้าของ ลักษณะสำคัญของเครือข่ายแลน คืออุปกรณ์ที่ประกอบภายในเครือข่ายสามารถรับส่งสัญญาณกันด้วยความเร็วสูงมาก โดยทั่วไปมีความเร็วตั้งแต่ หลายสิบล้านบิตต่อวินาที จนถึงร้อยล้านบิตต่อวินาที การสื่อสารในระยะใกล้จะมีความเร็วในการสื่อสารสูง ทำให้การรับส่งข้อมูลมีความผิดพลาดน้อยและสามารถรับส่งข้อมูลจำนวนมากในเวลาจำกัดได้

เครือข่ายแวน 

 
          เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ในระยะไกล เช่น เชื่อมโยงระหว่างจังหวัด ระหว่างประเทศ การสร้างเครือข่ายระยะไกล จึงต้องอาศัยระบบบริการข่ายสายสาธารณะ เช่น สายวงจรเช่าจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยหรือจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย ใช้วงจรสื่อสารผ่านดาวเทียม ใช้วงจรสื่อสารเฉพาะกิจที่มีให้บริการแบบสาธารณะ เครือข่ายแวนจึงเป็นเครือข่าย ที่ใช้กับองค์การที่มีสาขาห่างไกลและต้องการเชื่อมสาขาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เช่น ธนาคารมีสาขาทั่วประเทศ มีบริการ รับฝากเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม เครือข่ายแวนเชื่อมโยงระยะไกลมาก จึงมีความเร็วในการสื่อสารจึงไม่สูง เนื่องจาก มีสัญญาณรบกวนในสาย และการเชื่อมโยงระยะไกลจำเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษในการลดปัญหาข้อผิดพลาดของ การรับส่งข้อมูล เครือข่ายแวน เป็นเครือข่ายที่ทำให้เครือข่ายแลนหลายๆ เครือข่ายเชื่อมถึงกันได้เช่นที่ทำการสาขาทุกแห่ง ของธนาคารแห่งหนึ่งมีเครือข่ายแลนเพื่อใช้ทำงานภายในสาขานั้นๆ และมีการเชื่อมโยงเครือข่ายแลน ของทุกสาขาให้เป็นระบบเดียวด้วยเครือข่ายแวน ในอนาคตอันใกล้นี้ บทบาทของเครือข่ายแวนจะทำให้ทุกบริษัท ทุกองค์การทุกหน่วยงานเชื่อมโยงเครือข่าย คอมพิวเตอร์ของตนเองเข้าสู่เครือข่ายกลาง เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และการทำงานร่วมกัน ในระบบที่ต้องติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เทคโนโลยีที่ใช้กับเครือข่ายแวนมีความหลากหลาย มีการเชื่อมโยงระหว่างประเทศด้วยช่องสัญญาณดาวเทียม เส้นใยนำแสง คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ สายเคเบิล ทั้งที่วางตามถนนและวางใต้น้ำ เทคโนโลยีของการเชื่อมโยง ได้รับการพัฒนาไปมากแต่ยังไม่พอเพียงกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

เทคโนโลยีเครือข่ายแลน
           การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่ายแลนนั้น มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องสื่อสาร ข้อมูลระหว่างกันได้ทั้งหมดหากนำเครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่องต่อสายสัญญาณเข้าหากันจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งสอง นั้นส่งข้อมูลถึงกันได้ครั้นจะนำเอาคอมพิวเตอร์เครื่องที่สามต่อรวมด้วย เริ่มจะมีข้อยุ่งยากเพิ่มขึ้น และยิ่งถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งมีข้อยุ่งยากที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดสื่อสารกันได้ ด้วยเหตุนี้ผู้พัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์จึงต้องหาวิธีการและเทคนิคในการเชื่อมโยงเครือข่ายแบบต่างๆ เพื่อลดข้อยุ่งยาก ในการเชื่อมโยงสายสัญญาณโดยใช้สายสัญญาณน้อยและเหมาะสมกับการนำไปใช้งานได้ ทั้งนี้เพราะข้อจำกัดของการใช้ สายสัญญาณเป็นเรื่องสำคัญมาก บริษัทผู้พัฒนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้พยายามคิดหาวิธี และใช้เทคโนโลยีในการรับส่งข้อมูลภายในเครือข่ายแลน ออกมาหลายระบบ ระบบใดได้รับการยอมรับก็มีการตั้งมาตรฐานกลาง เพื่อว่าจะได้มีผู้ผลิตที่สนใจการผลิตอุปกรณ์ เชื่อมโยงเข้าสู่เครือข่าย เทคโนโลยีเครือข่ายแลนจึงมีหลากหลาย เครือข่ายแลนที่น่าสนใจ เช่น อีเทอร์เน็ต (Ethernet) โทเก็นริง (Token Ring) และ สวิตชิง (Switching)

Saturday, December 22, 2012

โครงงานบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง


ประวัติความเป็นมาของการทำเมี่ยงคำเมืองตาก  

                เหตุที่คนตากนิยมทานเมี่ยงซึ่งส่วนใหญ่มีมะพร้าวเป็นตัวหลัก ดังนั้นจึงมีกะลา มะพร้าวมาก และเค้าก็เอามาทำกระทงสำหรับลอยในวันลอยกระทง   
               เมี่ยงอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่ขึ้นชื่อของเมืองตากก็คือ เมี่ยงเต้าเจี้ยว บางทีก็เรียกกันว่า เมี่ยงคำเมืองตาก หรือ เมี่ยงจอมพล  ที่เรียกว่าเมี่ยงจอมพลเนื่องจาก ในอดีตทุกครั้งที่ จอมพลถนอม กิตติขจร มาเมืองตาก จะต้องไปกินเมี่ยงชนิดนี้ที่ร้านคุณป้าคนหนึ่งเป็นประจำ จนชาวบ้านพากันเรียก ''เมี่ยงจอมพล” เศษส่วน/ส่วนประกอบของการทำเต้าเจี้ยว -มะพร้าวหั่นชิ้นเล็กๆ คั่ว 1 ถ้วย (300 กรัม) -กุ้งแห้งตัวเล็ก (ชนิดจืด) 1 ถ้วย (300 กรัม) -ถั่วลิสงคั่ว 1 ถ้วย (300 กรัม) -หอมแดงหั่นเหลี่ยมเล็กๆ ½ ถ้วย (50 กรัม) -ขิงหั่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ½ ถ้วย (50 กรัม) -มะนาวหั่นทั้งเปลือกสี่เหลี่ยมเล็กๆ ½ ถ้วย (60 กรัม) -พริกขี้หนูหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ (กรณีคนชอบเผ็ด) 25 เม็ด (30 กรัม) -ใบชะพลู, ใบทองหลาง ชนิดละ 100 กรัม ขั้นตอนการทำ ให้จัดใบชะพลูหรือใบทองหลางใส่จานวางเครื่องปรุงอย่างละน้อยลงบนใบชะพลู หรือใบทองหลางที่จัดเรียงไว้ตักน้ำเมี่ยงหยอดห่อเป็นคำๆ รับประทาน

วัตถถุประสงค์

            1.เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของเมี่ยงคำเมืองตาก และภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับเมี่ยงคำเมืองตากของชาวเมืองตาก
                2.เพื่ออนุรักษ์เมี่ยงคำเมืองตาก

ประโยชน์ที่ได้รับ
            -ได้รับความรู้จากประสบการณ์จริง
-นำความรู้ที่ได้จากการเมี่ยงคำเมืองตากมาใช้ในด้านการอนุรักษ์การทำเมี่ยงคำของชาวจังหวัดตาก


วิธีการดำเนินงาน
1. พบอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อวางแผนทำโครงร่าง
2. จัดทำโครงร่าง
3. สอบถามและค้นคว้าข้อมูลจากที่มาและผู้รู้ในท้องถิ่น
4. เรียบเรียงข้อมูลและทำรูปเล่มโครงงาน
5. นำเสนอโครงงาน

ผลการดำเนินงาน
ประวัติความเป็นมาและภูมิปัญญาท้องถิ่นของเมี่ยงคำเมืองตาก
                เมี่ยงคำเมืองตากเกิดจากผู้เฒ่าผู้แก่ในตำบลหัวเดียดได้คิดค้นอาหารว่างไว้เพื่อรับประทานเล่น โดยคิดว่าควรจะนำสมุนไพรต่างๆมาทำเป็นอาหารว่าง จึงเกิดการทำเมี่ยงคำเมืองตากขึ้นมาและสืบทอดมายังรุ่นลูกรุ่นหลาน ทำให้เกิดเป็นเมี่ยงคำเมืองตากที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากเมี่ยงคำเมืองตากมีการใส่เต้าเจี้ยวลงไปในเมี่ยงคำ
เมี่ยงเต้าเจี้ยว บางทีก็เรียกกันว่า เมี่ยงคำเมืองตาก หรือ เมี่ยงจอมพล ที่เรียกว่าเมี่ยงจอมพลเนื่องจาก ในอดีตทุกครั้งที่ จอมพลถนอม กิตติขจร มาเมืองตาก จะต้องไปกินเมี่ยงชนิดนี้ที่ร้านคุณป้าคนหนึ่งเป็นประจำ จนชาวบ้านพากันเรียก ''เมี่ยงจอมพล”                                                                             อาชีพเสริมสร้างรายได้

    การทำเมี่ยงคำเมืองตากเป็นการเสริมสร้างอาชีพให้กับชาวบ้านในชุมชนได้เป็นอย่างมาก ปัจจุบันเมี่ยงคำเมืองตากนั้นมีชื่อเสียงไปไกลถึงจังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในชุมชนหัวเดียดได้มาก

สรุปและอภิปรายผล
สรุปผล
                เมี่ยงคำเมืองตากมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานซึ่งเกิดจากภูมิปัญญาของผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนหัวเดียดที่คิดค้นเมี่ยงคำเมืองตากขึ้นมา ทำให้ชาวบ้านมีรายได้จากการทำเมี่ยงคำเมืองตาก

อภิปรายผล
                เมี่ยงคำเมืองตากมีความแตกต่างจากเมี่ยงคำทั่วไปเพราะมีส่วนประกอบที่เป็นสมุนไพรต่างๆและใส่เต้าเจี้ยวเมืองตากลงไป ทำให้เมี่ยงคำเมืองตากเป็นอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดตาก เพราะมีรสชาติที่อร่อยและเป็นเอกลักษณ์ของเมี่ยงคำเมืองตาก นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมสร้างรายได้ให้กับชาวจังหวัดตากอีกด้วย




 

Saturday, December 15, 2012

อ๊ะอ๊ะอ๊ะมาแล้ว! มารู้จักกับน้องคนสุดท้องของ 1D กันน้าาา รับรองว่าหนุ่มแฮรี่คนนี้น่ารักอย่าบอกใครเลยล่ะ ขอบอกกกก



Harry Styles

Name : Harry Styles
Born : 1 February 1994
Home Town : Holmes Chapel, Cheshire
Study : Holmes Chapel Comprehensive School


       Harry สมาชิกที่อายุน้อยที่สุด และเป็นคนที่ Hot ที่สุดในวง โดยที่มี Follower ในtwitter ทะลุ 1 แสนคนเป็นคนแรกในกลุ่ม ปัจจุบันนี้ถึงล้านกว่าแล้ว เอกลักษณ์ที่สะดุดตาคือผมหยิกธรรมชาติของ Harry นั่นเอง (เห็นแล้วอยากจะไปขยี้หัวเล่นจริงๆ) เพื่อนๆขนานนาม Harryว่า The flirt เพราะความเจ้าชู้เบาๆ ของเจ้าตัวนี่เอง 5555
       Harry มักจะได้ร้องมากที่สุดในเพลง และมักได้รับหน้าที่ร้องท่อนโซโลหรือท่อนฮุคอยู่เสมอ
เพื่อนในวงที่ Harry สนิทมากที่สุด คือ Louis Tomlinson พี่ใหญ่ของวง จนเกิดกระแส Bromance กันเลยทีเดียว ลักษณะนิสัยส่วนตัวเป็นคนตลก เฮฮา บ้าบิ่น ทะลึ่งตึงตังเบาไ แต่เป็นคนที่โรแมนติกนะจะบอกให้!

       Harry ออดิชั่นที่ Manchester มากับเพลง isn’t she lovely โดยร้องแบบacapella แต่น่าเสียดายที่วันนั้น 1 ในกรรมการคือ Louis ดันอาร์ตแตกวันนั้นพอดี เลยได้มาแค่2 YES ผ่านเข้ารอบมาได้

Thursday, December 13, 2012

'Meteor shower' Don't miss it!!!


       อย่าพลาด ! ปรากฎการณ์ดาราศาสตร์ส่งท้ายปี นอนชมฝนดาวตกเจมินิดส์คืน 13 ธันวาคมนี้ 4ทุ่มเป็นต้นไป ดูได้ด้วยตาเปล่าทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย ตกสูงสุด 120 ดวงต่อชั่วโมงค่ะ

       ในระหว่างวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ คนไทยจะได้ชมปรากฏการณ์ฝนดาวตกเจมินิดส์ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้ช่วงที่จะเกิดฝนดาวตกมากที่สุดคือคืนวันที่ 13 ธ.ค.-ช่วงเช้ามืดวันที่ 14 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันแรม 15 ค่ำ ไม่มีแสงจากดวงจันทร์มารบกวน จึงสามารถมองเห็นฝนดาวตกด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณใกล้กับกลุ่มดาวคนคู่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการกระจายของฝนดาวตกเจมินิดส์ มีลักษณะเป็นริ้วสีขาวพาดผ่านท้องฟ้า ตั้งแต่เวลา 22:00 น. ของคืนวันที่ 13 ธันวาคม ถึงเช้ามืดประมาณ 05:00 น. ของวันที่ 14 ธันวาคม ตามเวลาในประเทศไทยค่ะ 




รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้ที่ : http://www.dailynews.co.th/technology/172179

Monday, December 10, 2012

มาต่อประโยชน์ดีๆเรื่องไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 ประการ


ไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 ประการ

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงผลกระทบจากการบุกรุกทำลายป่าไม้ของประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนก่อให้เกิดภาวะแห้งแล้ง พื้นที่ต้นนํ้าลำธารเสื่อมโทรม ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพทางการเกษตร กลายเป็นปัญหาทุกข์ร้อนของประชากรส่วนใหญ่ในชนบท พระองค์ทรงมีพระราชดำริในการพัฒนาฟื้นฟูสภาพป่าไม้ ให้คืนกลับสู่สภาพธรรมชาติด้วยแนวทางผสมผสาน โดยการปลูกไม้ทดแทนควบคู่กับการพัฒนาอาชีพราษฎร
ด้วยการวางแผนร่วมมือกันของทุกส่วนราชการ ในการดำเนินการปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ให้สอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์และสภาวะแวดล้อม
     การปลูกไม้ 3 อย่าง ให้ประโยชน์ 4 ประการ ตามแนวพระราชดำรินั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทาน
พระราชดำริ ไว้เมื่อปี 2519 ณ หน่วยพัฒนาต้นนํ้าทุ่งจ๊อ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ว่าการปลูกไม้ 3 อย่าง คือ ไม้ผล
ไม้โตเร็ว และไม้เศรษฐกิจ จะทำให้เกิดป่าไม้แบบผสมผสานและสร้างความสมดุลแก่ธรรมชาติอย่างยั่งยืน สามารถตอบสนองความต้องการของรัฐและวิถีประชาในชุมชนอันเป็นทฤษฎีการปลูกต้นไม้ลงในใจคน โดยการปลูกฝังจิตสำนึกแก่ประชาชนให้ปลูกต้นไม้ลงแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง
และในการฟื้นฟูพื้นที่ต้นนํ้าตามแนวพระราชดำริ ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
     ซึ่งพระองค์ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริ ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2525 เพื่อศึกษาหารูปแบบในการพัฒนาที่เหมาะสมในพื้นที่ต้นนํ้าลำธารนั้น พระองค์ทรงมีพระราชดำริ แนวทางในการปลูกไม้ฟื้นฟูสภาพป่าต้นนํ้าว่า การปลูกป่าถ้าจะให้ราษฎรมีประโยชน์ให้เขาอยู่ได้ให้ปลูกไม้ 3 อย่าง ให้ประโยชน์ 4 อย่าง คือ ไม้ใช้สอย ไม้กินได้ ไม้เศรษฐกิจ หรือ ไม้ผล
ไม้สร้างบ้าน และไม้ฟืน ซึ่งจะให้ประโยชน์ 4 ประการ คือ ได้ใช้สอยและเศรษฐกิจ ไม้ฟืน ไม้กินได้ และประการสุดท้าย คือ สามารถช่วยอนุรักษ์ดินและต้นนํ้าลำธารด้วย
ประเภทไม้ 3 อย่างที่เหมาะสมแก่การใช้ปลูก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นให้ใช้พันธุ์ไม้ที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น เพราะเป็นไม้ที่สามารถเจริญเติบโตได้ดี มีลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่อยู่แล้ว ไม่เป็นการเสี่ยงต่อภาวะการรอดตายและการเจริญเติบโต เป็นและที่รู้จักของราษฎรในท้องถิ่นอย่างดี พื้นที่ที่เหมาะสมแก่การปลูกไม้ป่าดังกล่าว ควรเป็นพื้นที่ที่มีสภาพเสื่อมโทรม หรือเป็นบริเวณป่าเพื่อการพึ่งพิงของราษฎรที่อยู่บริเวณใกล้ๆหมู่บ้าน วิธีการปลูกก็ให้ปลูกเสริมในลักษณะธรรมชาติ โดยไม่จับต้นไม้เข้าแถว ซึ่งการปลูกเสริมตามลักษณะธรรมชาตินี้ เมื่อต้นไม้โตขึ้นก็จะมีสภาพเป็นป่าตามธรรมชาติ โดยจะไม่มี
ลักษณะเป็นสวนป่าที่มีต้นไม้เรียงเป็นแถว

ไม้ 3 อย่าง
ลักษณะไม้ 3 อย่าง เป็นชนิดไม้ที่มีความสัมพันธ์เกื้อกูลกับวิถีชีวิตของชุมชน คือ
1. ไม้ใช้สอยและเศรษฐกิจ เป็นชนิดไม้ที่ชุมชนนำไปใช้ในการปลูกสร้างบ้านเรือน โรงเรือน เครื่องเรือน คอกสัตว์
เครื่องมือในการเกษตร เช่น เกวียน คันไถ ด้ามจอบ เสียม และมีด รวมทั้งไม้ที่สามารถนำมาทำเป็นเครื่องจักรสาน กระบุง ตะกร้าเพื่อนำไปใช้นำครัวเรือน และเมื่อมีพัฒนาการทางฝีมือก็สามารถจัดทำเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือน นำไปจำหน่ายเป็นรายได้ของชุมชน ซึ่งเรียกว่า เป็นไม้เศรษฐกิจของชุมชน ได้แก่ มะขามป่า สารภี ซ้อ ไผ่หก ไผ่ไร่ ไผ่บง ไผ่ซาง มะแฟน สัก ประดู่ กาสามปีก จำปี จำปา ตุ้ม ทะโล้ หมี่ ยมหอม กฤษณา นางพญาเสือโคร่ง ไก๋ คูณ ยางกราด กระถิน เก็ดดำ มะหาด ไม้เติม มะห้า มะกอกเกลื้อน งิ้ว ตีนเป็ด ยมหอม มะขม มะแข่น สมอไทย ตะคร้อ เสี้ยว บุนนาค ปีบ ตะแบก ตอง คอแลน รัง เต็ง แดง พลวง พะยอม ตะเคียน ฮักหลวง เป็นต้น



2. ไม้ฟืนเชื้อเพลิงของชุมชน ชุมชนในชนบทต้องใช้ไม้ฟืน เพื่อการหุงต้มปรุงอาหาร สร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว
สุมควายตามคอก ไล่ยุง เหลือบ ริ้น ไร รวมทั้งไม้ฟืนในการนึ่งเมี่ยง และการอบถนอมอาหาร ผลไม้บางชนิด ไม้ฟืนมีความ
จำเป็นที่สำคัญ หากไม่มีการจัดการที่ดีไม้ธรรมชาติที่มีอยู่จะไม่เพียงพอในการใช้ประโยชน์ ความอัตคัดขาดแคลนจะเกิดขึ้น
ดังนั้นจะต้องมีการวางแผนการปลูกไม้โตเร็วขึ้นทดแทนก็จะทำให้ชุมชนมีไม้ฟืนใช้ได้อย่างเพียงพอ ได้แก่ ไม้หาด สะเดา
เป้าเลือด มะกอกเกลื้อน ไม้เต้าหลวง กระท้อน ขี้เหล็ก ตีนเป็ด ยมหอม ลำไยป่า มะขม ดงดำ มะแขว่น สมอไทย ตะคร้อ
ต้นเสี้ยว บุนนาค ตะแบก คอแลน แดง เต็ง รัง พลวง ติ้ว หว้า มะขามป้อม แค ผักเฮือด เมี่ยง มะม่วงป่า มะแฟน กาสามปีก มันปลา นางพญาเสือโคร่ง มะมือ ลำไย รกฟ้า ลิ้นจี่



3. ไม้อาหารหรือไม้กินได้ ชุมชนดั้งเดิมเก็บหาอาหารจากแหล่งธรรมชาติ ทั้งการไล่ล่าสัตว์ป่าเป็นอาหาร รวมทั้งพืชสมุนไพร อดีตแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์จึงเป็นแหล่งอาหารเสริมสร้างพลานามัย การปลูกไม้ที่สามารถให้หน่อ
ใบ ดอก ผล ใช้เป็นอาหารได้ก็จะทำให้ชุมชนมีอาหารและสมุนไพร ในธรรมชาติเสริมสร้างสุขภาพให้มีกินมีใช้อย่างไม่ขาดแคลน ได้แก่ มะหาด ฮ้อสะพายควาย เป้าเลือด บุก กลอย งิ้ว กระท้อน ขี้เหล็ก มะขม มะแข่น สมอไทย ตะคร้อ เสี้ยว คอแลน ผักหวานป่า มะไฟ มะขามป้อม มะเดื่อ มะปีนดง เพกา แค สะเดา เมี่ยง มะม่วงป่า มะแฟน มะเม่า หวาย ดอกต้าง กระถิน
ก่อเดือย หว้า กล้วย ลำไย มะกอกเกลื้อน มะระขี้นก ประคำดีควาย ตะคร้อ กระบก ผักปู่ย่า มะเฟือง แคหางค่าง ขนุน มะปราง มะหลอด คอแลน มะเม่า ส้มป่อย



ประโยชน์ 4 ประการ
ไม้ 3 อย่าง เมื่อปลูกไปแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์ 4 ประการ คือ
1. ในสภาพปัจจุบันป่าไม้ลดลงเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างทั่วถึง และเพียงพอ ดังนั้น เมื่อมีการปลูกไม้ที่มีความเหมาะสมและมีคุณสมบัติที่ดีเพื่อการใช้สอยและสามารถนำมาใช้เสริมสร้างอาชีพได้ โดยมีการวางแผนอย่างมีส่วนร่วมและดูแลรักษาก็จะทำให้ชุมชนมีไม้ไว้ใช้สอยอย่างไม่ขาดแคลน และจะไม่สร้างผลกระทบ
ต่อทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่และหากมีการปลูกในปริมาณที่มากพอ ชุมชนก็สามารถนำมาเสริมสร้างอาชีพเสริมได้ทำให้ชุมชนมีรายได้เสริมให้มีความอยู่ดีกินดีขึ้น



2. ไม้ฟืนเป็นวัสดุเชื้อเพลิงพื้นฐานของชุมชน หากชุมชนไม่มีไม้ฟืนไว้สนับสนุนกิจกรรมครัวเรือน ชุมชนจะต้องเดือดร้อนและสิ้นเปลืองเงินทอง เพื่อการจัดหาแก๊สหุงต้ม หรือจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อการจัดหาวัสดุเชื้อเพลิงประเภทอื่นๆ



3. พืชอาหารและสมุนไพรรวมทั้งสัตว์แมลง ที่ชุมชนสามารถเก็บหาได้จากธรรมชาติจะเป็นอาหารที่มีคุณค่าปลอดสารพิษ อันเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของคนในชุมชน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งถ้ามีปริมาณเกินกว่าที่ต้องการแล้วยังสามารถใช้เป็นสินค้าเสริมสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย



4. เมื่อมีการปลูกไม้เจริญเติบโตเป็นพื้นที่ขยายมากเพิ่มขึ้น และมีการปลูกเสริมคุณค่าป่าด้วยพันธุ์ต่างๆ ทำให้เกิดความหลากหลายและเป็นการอนุรักษ์ดินและนํ้า รวมทั้งก่อให้เกิดการอนุรักษ์พื้นที่ต้นนํ้าลำธาร




คณิต ธนูธรรมเจริญ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ

จริยธรรมและคุณธรรมในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต



On December 23, 2011, in บทเรียน, เทคโนโลยีสารสนเทศ, by ครูณัฐพล


จริยธรรม หมายถึง หลักศีลธรรมจรรยาที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ หรือควบคุมการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณาจริยธรรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์แล้ว สามารถสรุปได้ 4 ประเด็น ได้แก่

1. ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy)
ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ โดยทั่วไปหมายถึงสิทธิที่จะอยู่ตามลำพังและเป็นสิทธิที่เจ้าของสามารถที่จะควบคุมข้อมูลของตนเองในการเปิดเผยให้กับผู้อื่น ปัจจุบันมีประเด็นเกี่ยวกับการละเมิดความเป็นส่วนตัวที่เป็นข้อหน้าสังเกตดังนี้
- การเข้าไปดูข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และการบันทึกข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการบันทึก-แลกเปลี่ยนข้อมูลที่บุคคลเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์และกลุ่มข่าวสาร
- การใช้เทคโนโลยีในกาติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมของบุคคล เช่น บริษัทใช้คอมพิวเตอร์ในการตรวจจับหรือเฝ้าดูการปฏิบัติงาน/การใช้บริการของพนักงาน
- การใช้ข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ในการขยายตลาด
- การรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล์ หมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพื่อนำไปสร้างฐานข้อมูลประวัติลูกค้าใหม่ขึ้นมาแล้วนำไปขายให้กับบริษัทอื่น

2. ความถูกต้อง (Information Accuracy)
ในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการรวบรวม จัดเก็บ และเรียกใช้ข้อมูลนั้น คุณลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งคือความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูล ทั้งนี้ ข้อมูลจะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความถูกต้องในการบันทึกข้อมูลด้วย ประเด็นด้านจริยธรรมที่เกี่ยวกับความถูกต้องของข้อมูล โดยทั่วไปจะพิจารณาว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความถูกต้องของข้อมูลที่จัดเก็บและเผยแพร่

3. ความเป็นเจ้าของ (Information Property)
ในสังคมของเทคโนโลยีสารสนเทศมักจะกล่าวถึงการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ เมื่อท่านซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีการจดลิขสิทธิ์ นั่นหมายความว่าท่านจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการใช้ซอฟต์แวร์นั้น ซึ่งลิขสิทธิ์ในการใช้จะแตกต่างกันไปในแต่ละสินค้าและบริษัท บางโปรแกรมอนุญาตให้ติดตั้งได้เพียงเครื่องเดียว ในขณะที่บางโปรแกรมอนุญาตให้ใช้ได้หลายเครื่อง ตราบใดที่ท่านยังเป็นบุคคลที่มีสิทธิในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ซื้อมา การคัดลอกโปรแกรมให้กับบุคคลอื่น เป็นการกระทำที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่าท่านมีสิทธิในโปรแกรมนั้นในระดับใด

4. การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility)
คือการป้องกันการเข้าไปดำเนินการกับข้อมูลของผู้ใช้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นการรักษาความลับของข้อมูล ตัวอย่างสิทธิในการใช้งานระบบเช่น การบันทึก การแก้ไข/ปรับปรุง และการลบ เป็นต้น ดังนั้น ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์จึงได้มีการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ และการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมนั้น ถือว่าเป็นการผิดจริยธรรมเช่นเดียวกับการละเมิดข้อมูลส่วนตัว ในการใช้งานคอมพิวเตอร์และเครือข่ายร่วมกัน หากผู้ใช้ร่วมใจกันปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับของแต่ละหน่วยงานอย่างเคร่งครัดแล้ว การผิดจริยธรรมตามประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นก็คงจะไม่เกิดขึ้น






จรรยาบรรณการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์

1. ให้ระมัดระวังการละเมิดหรือสร้างความเสียหายให้ผู้อื่น
2. ให้แหล่งที่มาของข้อความ ควรอ้างอิงแหล่งข่าวได้
3. ไม่กระทำการรบกวนผู้อื่นด้วยการโฆษณาเกินความจำเป็น

4. ดูแลและแก้ไขหากตกเป็นเหยื่อจากโปรแกรมอันไม่พึงประสงค์ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นเป็นเหยื่อ

บัญญัติ 10 ประการ

1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายหรือละเมิดผู้อื่น

2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น

3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น

4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร

5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ

6. ต้องมีจรรยาบรรณการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์

7. ให้ระมัดระวังในการละเมิดหรือสร้างความเสียหายให้ผู้อื่น

8. ให้แหล่งที่มาของข้อความ ควรอ้างอิงแหล่งข่าวได้

9. ไม่กระทำการรบกวนผู้อื่นด้วยการโฆษณาเกินความจำเป็น

10. ดูแลและแก้ไขหากตกเป็นเหยื่อจากโปรแกรมอันไม่พึงประสงค์ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นเป็นเหยื่อ

ขอขอบคุณแหล่งที่มาดีๆจาก : http://www.nattapon.com/2011/12/


สำหรับวันนี้เรามารู้จักกับพี่ใหญ่อย่าง Louis  Tomlinson แห่งวงOne Directionกันคร่าาาาาาา>//<




Name : Louis  Tomlinson
Born : 24 December 1991
Home Town : Doncaster
Study : Hall Cross School

                  Louis เป็นสมาชิกที่อายุเยอะที่สุด ฮาที่สุดและกวนโอ๊ยที่สุด!! Louis มาออดิชั่นด้วยเพลง Hey There Delilah เพื่อนๆขนานนามเค้าว่า The Leader !!
พี่ใหญ่ของวงที่ท่าเต้นประจำตัวและมักสอนเพื่อนๆให้ทำตามคือท่าโบกจราจร Louisชอบท่านี้มาก ด้วยความยียวนกวนโอ๊ยของเค้า จึงถูกใจบรรดาแฟนๆทั่วเกาะอังกฤษ เรียกได้ว่าเจอ Louis ที่ไหน ความฮาก็จะเกิดที่นั่น พี่ใหญ่ของวงสนิทกับน้องเล็กของวงมาก ทั้งคู่นอนในห้องเดียวกัน ขณะที่คนอื่นนอนห้องแยก
                  เอกลักษณ์ของเค้านอกจากทรงผมปัดข้างแล้ว การแต่งการของเค้ายังเป็นแรงบันดาลใจให้วัยรุ่นได้แต่งกวนโอ๊ยตามอีกด้วย…

Saturday, December 1, 2012

เรามารู้จักหนุ่มคุณชายมาดนิ่งอย่างLiam Payneกันเถอะ:D





Name : Liam Payne
Born : 29 August 1993
Home Town : Wolverhampton
Study : music technology, City of Wolverhampton College


       Liam สมาชิก ที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่ม สังเกตได้จากวิดีโอไดอารี่หลายๆตัวที่ปล่อยออกมาในช่วงการประกวด ดูนิ่งๆขรึมๆ ซนน้อยที่สุดจากทั้งหมดแล้วล่ะ 55555 นอกจากนี้ Liamเป็นคนมีพรสวรรค์ สามารถร้องได้ เต้นได้ Beat Box ได้อีกด้วย! ลักษณะนิสัยส่วนตัว เป็นคนขี้อาย รักเพื่อน รักแฟน รักครอบครัว เป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของเพื่อนๆในวง
สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของ Liam เลยคือมักจะได้ร้องเปิดเพลงตลอด และเพื่อนๆในวงขนานนามว่าเป็น The Smart One !!

       Liam เคยมา Audition รายการนี้ครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อปี 2008 ตอนนั้นอายุแค่ 14 ปี แล้วก็ได้ผ่านเข้าสู่รอบ Judge House แต่ไม่ได้เข้ารอบ Live Show เพราะ Simon รู้สึกว่า Liamยังไม่พร้อม และบอกให้เรียนให้จบก่อน (คาดว่าอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ x factor ในปีต่อๆมากำหนดไว้ว่าต้องอายุ 16 ขึ้นไป) ในปี 2010 Liam มา Audition ที่ Birmingham ด้วยการโชว์พลังเสียงในเพลง Cry me a river โดยที่ Simon และกรรมการรับเชิญอย่าง Natalie Imbruglia ถึงขั้นต้อง standing ovation ให้ และเป็นไปตามความคาดหมายค่ะ ได้รับ YES!จากกรรมการทั้ง 4 คน ผ่านฉลุยเข้ารอบต่อไป